Flag EnglandFlag Thailand

ไขข้อข้องใจ ใบแจ้งหนี้และใบวางบิลต่างกันอย่างไร และใช้อย่างไร

invoicr


สำหรับผู้ประกอบการหลายท่าน คงเคยสงสัยว่า "ใบแจ้งหนี้" (Invoice) และ "ใบวางบิล" (Bill) มีความแตกต่างกันอย่างไร และควรใช้เอกสารใดในสถานการณ์ไหน วันนี้ ByteHR จะมาไขข้อข้องใจนี้ให้ทุกท่านได้เข้าใจอย่างชัดเจน


ใบแจ้งหนี้ (Invoice) คืออะไร?

ใบแจ้งหนี้ เป็นเอกสารที่ผู้ขายส่งให้ผู้ซื้อเพื่อแจ้งยอดเงินที่ต้องชำระสำหรับสินค้าหรือบริการที่ได้รับแล้ว โดยทั่วไปจะออกใบแจ้งหนี้หลังจากส่งมอบสินค้าหรือให้บริการเสร็จสิ้นแล้ว

ลักษณะสำคัญของใบแจ้งหนี้:

  • เป็นการขายเชื่อ - ลูกค้าจะชำระเงินภายหลัง

  • มีเครดิตเทอม - กำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30 วัน, 60 วัน

  • เป็นหลักฐานการเรียกเก็บเงิน - ใช้ติดตามลูกหนี้

  • ออกหลังการส่งมอบ - สินค้าหรือบริการถูกส่งมอบแล้ว


ข้อมูลที่ควรมีในใบแจ้งหนี้:

  • หมายเลขใบแจ้งหนี้ (Invoice Number)

  • วันที่ออกใบแจ้งหนี้

  • วันที่ครบกำหนดชำระ (Due Date)

  • รายละเอียดสินค้า/บริการ

  • จำนวนเงินรวม

  • เงื่อนไขการชำระเงิน


ใบวางบิล (Bill) คืออะไร?

ใบวางบิล เป็นเอกสารที่ผู้ขายนำเสนอให้ผู้ซื้อเพื่อเรียกเก็บเงินสำหรับสินค้าหรือบริการที่กำลังจะซื้อหรือได้รับแล้ว โดยปกติจะชำระเงินทันทีหรือภายในระยะเวลาอันสั้น


ลักษณะสำคัญของใบวางบิล:

  • เป็นการขายสด - ชำระเงินทันทีหรือภายในระยะเวลาสั้น

  • ไม่มีเครดิตเทอม หรือมีระยะเวลาชำระสั้นมาก

  • เป็นการเรียกเก็บเงินทันที

  • ออกก่อนหรือพร้อมการส่งมอบ


ข้อมูลที่ควรมีในใบวางบิล:

  • หมายเลขใบวางบิล

  • วันที่ออกใบวางบิล

  • รายละเอียดสินค้า/บริการ

  • จำนวนเงินที่ต้องชำระ

  • วิธีการชำระเงิน


ความแตกต่างหลักระหว่างใบแจ้งหนี้และใบวางบิล


ประเด็นเปรียบเทียบ

ใบแจ้งหนี้ (Invoice)

ใบวางบิล (Bill)

ลักษณะการขาย

ขายเชื่อ

ขายสด

ระยะเวลาชำระ

มีเครดิตเทอม (30-90 วัน)

ทันทีหรือระยะสั้น

การออกเอกสาร

หลังส่งมอบสินค้า/บริการ

ก่อนหรือพร้อมส่งมอบ

วัตถุประสงค์

ติดตามลูกหนี้

เรียกเก็บเงินทันที

ความซับซ้อน

ซับซ้อนกว่า (มีเงื่อนไข)

ง่ายกว่า (ชำระทันที)


เมื่อไหร่ควรใช้ใบแจ้งหนี้?

เหมาะสำหรับธุรกิจที่:

  • ขายสินค้าเป็นจำนวนมาก หรือมีมูลค่าสูง

  • มีลูกค้าเป็นองค์กร หรือบริษัท

  • ให้บริการแบบต่อเนื่อง เช่น บริการ HR, บริการทำความสะอาด

  • ต้องการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ระยะยาว

  • มีการขายเชื่อเป็นปกติ ในอุตสาหกรรมนั้น


ตัวอย่างธุรกิจ:

  • ผู้จำหน่ายวัตถุดิบ

  • บริษัทให้บริการ IT

  • บริษัท HR Outsourcing

  • ผู้รับเหมาก่อสร้าง


เมื่อไหร่ควรใช้ใบวางบิล?

เหมาะสำหรับธุรกิจที่:

  • ขายสินค้าราคาไม่สูงมาก

  • มีลูกค้าเป็นคนทั่วไป หรือร้านค้าเล็ก

  • ต้องการเงินสดทันที เพื่อการดำเนินงาน

  • สินค้าหรือบริการที่ใช้ทันที

  • ธุรกิจค้าปลีก หรือบริการรายวัน


ตัวอย่างธุรกิจ:

  • ร้านอาหาร

  • ร้านค้าปลีก

  • บริการซ่อมแซม

  • ธุรกิจออนไลน์


bill


ข้อดีและข้อเสียของแต่ละแบบ

ใบแจ้งหนี้ (Invoice)

ข้อดี:

  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

  • เพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น

  • เหมาะกับลูกค้าองค์กร

  • สามารถขายสินค้ามูลค่าสูงได้


ข้อเสีย:

  • มีความเสี่ยงจากลูกหนี้เสีย

  • ต้องมีระบบติดตามหนี้

  • กระแสเงินสดไม่แน่นอน

  • ต้องใช้เวลาในการเก็บหนี้


ใบวางบิล (Bill)

ข้อดี:

  • ได้เงินสดทันที

  • ไม่มีปัญหาลูกหนี้เสีย

  • กระแสเงินสดแน่นอน

  • ง่ายต่อการจัดการ


ข้อเสีย:

  • อาจสูญเสียลูกค้าบางราย

  • จำกัดการขายสินค้าราคาสูง

  • แข่งขันกับคู่แข่งที่ให้เครดิตได้ยาก


    invoice


เคล็ดลับในการเลือกใช้

พิจารณาจากลูกค้า:

  • ลูกค้าองค์กร/บริษัท → ใบแจ้งหนี้

  • ลูกค้าทั่วไป → ใบวางบิล


พิจารณาจากสินค้า:

  • สินค้ามูลค่าสูง → ใบแจ้งหนี้

  • สินค้าราคาไม่สูง → ใบวางบิล


พิจารณาจากกระแสเงินสด:

  • ต้องการเงินสดทันที → ใบวางบิล

  • สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว → ใบแจ้งหนี้

การจัดการเอกสารอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับใบแจ้งหนี้:

  1. ติดตามวันครบกำหนด อย่างสม่ำเสมอ

  2. ส่งการแจ้งเตือน ก่อนครบกำหนด

  3. มีระบบติดตามลูกหนี้ ที่ชัดเจน

  4. กำหนดนโยบายเครดิต ที่เข้มงวด

สำหรับใบวางบิล:

  1. ออกเอกสารทันที เมื่อขายสินค้า

  2. เก็บรักษาสำเนา อย่างเป็นระบบ

  3. บันทึกบัญชี อย่างถูกต้องทันที

  4. ตรวจสอบการรับเงิน ให้ครบถ้วน


บทสรุป

ใบแจ้งหนี้และใบวางบิลต่างมีจุดประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน การเลือกใช้เอกสารที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่น มีกระแสเงินสดที่ดี และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า

สำหรับธุรกิจที่ต้องการจัดการระบบ HR และเอกสารทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ByteHR พร้อมให้คำปรึกษาและโซลูชันที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ เพื่อให้คุณมุ่งเน้นไปที่การเติบโตของธุรกิจได้อย่างเต็มที่

อยากติดตามบทความความรู้เกี่ยวกับภาษี เคล็ดลับต่างๆ สำหรับพนักงานและผู้ประกอบการ รวมทั้งเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้ที่ ByteHR หรือถ้าคุณอยากเริ่มใช้โปรแกรม HR แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มยังไงดี หรือฟังก์ชันต่างๆ จะตอบโจทย์บริษัทคุณมั้ย ลองปรึกษา ByteHR ฟรีได้ที่ 02 026 3297 หรือส่งอีเมลมาที่ sales@byte-hr.com


Sea Chonthicha
เกี่ยวกับผู้เขียน
ซีมีประสบการณ์ทำงานที่หลากหลายกว่า 9 ปี ในด้านทรัพยากรบุคคล การสรรหาบุคลากร และการตลาดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ปัจจุบันเธอกำลังสร้างประสบการณ์การทำงาน ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในภาคธุรกิจการบริการ โดยใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเธอในการขับเคลื่อนกลยุทธ์นวัตกรรมทางการตลาด